รวมความรู้ด้านสุขภาพ Health Knowledgeศาสตร์ชะลอวัย Anti-aging

อาหารมหัศจรรย์

ในเรื่องนี้ไม่ได้หมายความถึงรายการสุดยอดอาหารที่ครบสมบูรณ์ทุกชนิด

ยกตัวอย่างเช่น ไม่ได้กล่าวถึงซุปไก่ที่มีประโยชน์ หรือกระเทียมและหัวหอมที่ถือว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจไว้ในส่วนนี้ด้วย โดยจะกล่าวถึงเฉพาะรายการอาหารที่มีความมหัศจรรย์อยู่ในตัวมันเองเท่านั้น

1. เเอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นแพ็กเก็จโภชนาการที่มหัศจรรย์ แอปเปิ้ลไม่มีไขมัน แต่มีสารเพคติน (เส้นใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล) อยู่เป็นจำนวนมาก  และอุดมด้วยวิตามินซี

แอปเปิ้ลมีสารฟลาโวนอยด์สูง โดยฟลาโวนอยด์เป็นสารที่มีอยู่ในผลไม้หลายชนิด พืชผัก ไวน์แดง และชา ซึ่งจะช่วยปกป้องสุขภาพหัวใจ

ในปี ค.ศ.1993 นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันสุขภาพในเมืองบิลโฮเวนประเทศเนเธอร์แลนด์

รายงานว่าคนที่ได้รับสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ได้รับสารฟลาโวนอยด์ต่ำ ถึงประมาณ 50%

2. ถั่ว

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่บอกว่า ถั่วช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยปกป้องร่างกายจากการมีน้ำตาลในกระแสเลือดมากเกินไป

การที่ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดลดลง มีสาเหตุมาจากสารกัมและเพคติน ซึ่งเป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้

ช่วยขจัดคราบไขมันและป้องกันการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด

ข้าวโอ๊ตอุดมด้วยสารที่เรียกว่า เบต้ากัม ก็ให้ผลดีต่อร่างกายในลักษณะเดียวกันนี้ ถั่วจะย่อยช้ามาก จึงทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าคุณกินถั่ว ร่างกายต้องการอินซูลินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด ร่างกายจะใช้อินซูลินน้อยกว่าเมื่อย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างเช่น พาสต้าและมันฝรั่ง

งานวิจัยซึ่งรู้จักกันดีของมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ พบว่าโภชนาการในอาหารประเภทถั่วช่วยทำให้คนที่เป็นเบาหวานประเภท 1 (คนที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้) สามารถลดระดับการใช้อินซูลินได้เกือบ 40%

และคนที่เป็นเบาหวานประเภท 2 (คนที่ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง) สามารถลดการใช้อินซูลินได้ถึง 98%

อุปสรรคเพียงประการเดียวของอาหารประเภทถั่ว คือ แก๊ส ซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยเส้นใยอาหารและน้ำตาลเชิงซ้อน (raffinose, stachyose)

สารเหล่านี้จะเป็นอาหารให้แก่แบคทีเรียที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทนซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา

วิธีลดแก๊สในกระเพาะอาหาร คือ การลดปริมาณน้ำตาลเชิงซ้อนในถั่วก่อนบริโภค ด้วยการนำถั่วไปต้มน้ำให้นานหลายชั่วโมง น้ำตาลจะไปจับกับน้ำ

ซึ่งเป็นการทำให้น้ำตาลออกจากถั่ว หรือด้วยการแช่ถั่วในน้ำร้อนทิ้งไว้ก่อนนำไปปรุงอาหาร

ถั่วเหลือง สุดยอดอาหารแห่งเส้นใยอาหารและสารไฟโตเอสโตรเจนซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งพบได้ในพืชผัก ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด

3. ปลา

คุณเคยได้ยินคุณย่าเรียกปลาว่า “อาหารสมอง” หรือเปล่า นั่นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง

เพราะ ปลาอุดมด้วยไอโอดีนธาตุ ซึ่งทำให้ต่อมไทรอยด์สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ที่ทําให้คุณสามารถคิดและเคลื่อนไหวร่างกายได้

ในอดีต คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากทะเล (แหล่งไอโอดีนจากธรรมชาติที่ดีที่สุด) มักจะเงื่องหงอยเซื่องซึม และอาจมีการพัฒนาทางด้านสมองช้า เพราะร่างกายขาดธาตุไอโอดีน

แต่โรคนี้ไม่ค่อยพบในสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ได้มีการนำเกลือไอโอดีนมาใช้

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ปลาเริ่มเป็นที่รู้จักกันในฐานะเป็นอาหารชั้นเยี่ยม ที่สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง

เพราะส่วนใหญ่แล้วปลาจะมีโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้ทำให้เลือดมีความเหนียวข้นน้อยลง ทำให้สามารถลดการจับตัวเป็นก้อนของเลือด อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว

ซึ่งนับว่าได้ผลดีมากจนสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาต้องประกาศแนะนำให้ประชาชนบริโภคเนื้อปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

นอกจากนี้ ปลายังเป็นแหล่งที่อุดมด้วยสารทอรีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของเส้นเลือดได้

ในปี ค.ศ.2002 ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซึ่งศึกษาทดลองในระยะยาว

พบว่าคนที่กินปลา 3-5 ออนซ์เพียงเดือนละ 1 ครั้ง จะลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันได้ถึง 40%

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ไม่ได้รวมผู้หญิง แต่มีรายงานจากวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกา ปี ค.ศ.2000

พบว่าผู้หญิงที่กินปลา 4 ออนซ์ (ขนาดเท่ากับปลาทูน่ากระป๋องเล็ก) สัปดาห์ละ 2-4 ครั้ง จะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันได้ถึง 40% เช่นเดียวกัน

4. พริกไทย

พริกไทยแดง เขียว เหลือง เป็นแหล่งวิตามินเอ และวิตามินซีอย่างดี

พริกไทยดำ ขาว และแดงสำหรับปรุงรส (รวมถึงพริกป่น) สามารถทำให้มีน้ำไหลออกที่เยี่อจมูกและคอ

ดังนั้น เมื่อเป็นหวัดคุณจะสามารถขับน้ำมาออกมาได้เมื่อกินพริก นับได้ว่าเป็นยาระงับความเจ็บปวดที่ได้ผลชนิดใหม่สารระงับความเจ็บปวดในพริกไทย คือ capsaicin ซึ่งสามารถเผาไหม้ให้ร้อน

สารนี้สกัดจากพริก ที่ใช้ในครีมรักษาโรคไขข้ออักเสบ เพราะมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดจากการที่ปลายประสาทถูกกระตุ้นมากเกินไป จนไม่สามารถส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองได้

นักวิจัยบางคนเชื่อว่าครีมที่มีสาร capsaicin จะสามารถช่วยลดความเจ็บปวดจากอาการปวดศีรษะ

จากการที่เลือดจับตัวเป็นก้อน ซึ่งเป็นอาการปวดศีรษะ แบบไมเกรนที่มักเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์

5. มะเขือเทศ

มะเขือเทศนับได้ว่าเป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่งสำหรับโลกของเรา เช่นเดียวกับพริกไทยหวาน มันฝรั่ง และข้าวโพด

ซึ่งมีการนำมาใช้ในบ้าน มะเขือเทศเป็นผลไม้ผลกลมมีสีแดงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกกันว่า “เลิฟแอปเปิ้ล”

เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีเเละโฟเลท (วิตามินบี9) รวมทั้งสารสีแคโรทีนอยด์ที่เรียกว่า “ไลโคปีน”

ปัจจุบัน มะเขือเทศได้กลายมาเป็นดาวแห่งวงการโภชนาการ

สารไลโคปีนกลายมาเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งทรวงอก และมะเร็งเยื่อบุมดลูกในสัตว์ทดลองเพศเมีย

มะเขือเทศเมื่อสุกจะมีสีแดงและมีสารไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศปรุงรส

ผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากมะเขือเทศ อย่างเช่น ซอสมะเขือเทศ จะมีสารไลโคปีนมากด้วยเช่นกัน

สารไลโคปีนสามารถละลายได้ในไขมัน ถ้ากินไขมันเพิ่มเล็กน้อยก็จะทำให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากสารไลโคปีนได้มากขึ้น เช่น ใส่น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ เข้ากับซอสมะเขือเทศหรืออาหารที่ทำจากมะเขือเทศ

ซึ่งคุณจะเชื่อหรือไม่ว่า การใส่ซอสมะเขือเทศเข้ากับพิซซ่าและพาสต้า สามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งบางอย่างได้ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงโรคหัวใจด้วย

Cr. คู่มือโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น