สรุปผลการวิจัย น้ำตาลฟรุตโตส – Fructose Research Highlights
1. ภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome)
2. โรคเบาหวาน (Diabetes)
3. ภาวะน้ำหนักเกิน (Body weight)
4. ระดับไขมันในกระแสเลือด (Plasma Lipids)
5. กรดยูริค / เกาต์
6. อื่นๆ
** หมายเหตุ เอกสารนี้จะมีการอ้างถึงงานวิจัยของนักวิจัยหลายๆท่าน งานวิจัยใดที่มีผู้จัดทำมากกว่า 3 ท่านขึ้นไปจะเขียนเฉพาะชื่อนักวิจัยหลักและตามด้วย et al. ซึ่งแปลว่า “และคณะ”
อ่านผลวิจัย ด้านน้ำตาลฟรุตโตส เพิ่มเติมได้ที่ https://fructosefacts.org/research/
1. ภาวะอ้วนลงพุง / โรคหลอดเลือดหัวใจ
1.1 จากการศึกษาวิจัย พบว่า
การบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวานในปริมาณปานกลาง
และเครื่องดื่มนั้นใช้น้ำตาลฟรุคโตสเป็นสารให้ความหวาน
ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับระบบเผาผลาญของวัยรุ่น
โดยงานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารงานวิจัย
The American Journal of Clinical Nutrition
1.2 การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
(Non-Alcoholic Fatty Liver Disease/ NAFLD)
โดยผลการศึกษานี้มาจากบททบทวนวรรณกรรม (review)
ที่ได้รับการตีพิมพ์โดยวารสารการวิจัย The American Journal of Clinical Health
1.3 การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในปริมาณสูง
ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเมื่อเทียบกับการบริโภคในปริมาณต่ำ
จากงานวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในปริมาณสูงนั้น
ไม่ก่อให้เกิดภาวะโคเลสเทอรอลในเลือดสูงหรือความดันโลหิตสูง
1.4 นักวิจัยกล่าวว่า
น้ำตาลไม่ควรถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุหลักๆ ของโรคอ้วนและเบาหวาน
โดยนักวิจัย Kahn และ Sievenpiper ได้โต้แย้งว่า
การกล่าวหาว่าน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุคโตส
เป็นต้นเหตุของโรคอ้วนและเบาหวานเป็นสิ่งที่ผิด
1.5 จากการทดสอบ
พบว่าน้ำตาลฟรุคโตสไม่ได้เป็นสาเหตุของการระบาด
ที่เพิ่มมากขึ้นของโรคอ้วน
โดยข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากการทดสอบของ
Van Buul et al. ว่าการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นของโรคอ้วน
ในระดับนานาชาตินั้น
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
รวมถึงการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุคโตสเป็นส่วนประกอบ
1.6 ผลการทดสอบของนักวิจัย
Chiu et al. พบว่าน้ำตาลฟรุคโตสนั้น
ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (NAFLD)
1.7 ผลจากการทดสอบ
พบว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
ไม่ได้เป็นสาเหตุของปัญหาในระบบการเผาผลาญของร่างกาย
จากการศึกษาวิจัยของนักวิจัย Rippe ในปี 2013
พบว่าสาเหตุของโรคอ้วนละเบาหวานนั้น
เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานเป็นจำนวนแคลอรี่มากเกินไป
ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหมวด Advances in Nutrition
ซึ่งเป็นหมวดของงานวิจัยที่มุ่งเน้นศึกษาด้านสุขภาพและน้ำตาลฟรุคโตส
1.8 จากงานวิจัย
พบว่าน้ำตาลฟรุคโตสไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในโรคอ้วน
ที่ตอนนี้กำลังระบาดในประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยข้อมูลดังกล่าวได้จากการศึกษาวิจัยจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ
ภายใต้หัวข้อ “Food availability of glucose and fat, but not fructose, increased in the US between 1970-2009”
ซึ่งมุ่งศึกษาด้านการรับประทานอาหาร
และโภชนาการของประชาชนระหว่างปี 1970 ถึง 2009
โดยใช้ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA)
1.9 จากงานวิจัย
พบว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในระดับปกติไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ
ซึ่งข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยของ Sievenpiper et al.
(ในการศึกษาหัวข้อ “น้ำตาลฟรุคโตส: ความจริงอยู่ที่ไหน?”)
ว่าน้ำตาลฟรุคโตสนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ
น้ำหนักตัว, ความดันโลหิต, กรดยูริค, และระดับฮอร์โมนอินซูลิน
นอกจากนี้น้ำตาลฟรุคโตสยังสามารถปรับปรุงการควบคุมดัชนีไกลซีมิคอีกด้วย
เมื่อน้ำตาลฟรุคโตสถูกบริโภคในระดับปกติ
1.10 ร่างกายของคนเรา
อาจมีการตอบสนองกับน้ำตาลฟรุคโตส
และอาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้
โดยข้อมูลนี้ได้รับจากนักวิจัย Madero et al.
แต่งานวิจัยไม่ได้กล่าวถึงการบริโภคน้ำเชื่อมข้าวโพด
ที่มีปริมาณ fructose สูงและน้ำตาลซูโครส
1.11 ผลกระทบของน้ำตาลฟรุคโตสต่อระดับความดันโลหิต
จากการศึกษาทดสอบและการวิเคราะห์ด้วยการควบคุมปริมาณการบริโภคน้ำตาล
โดยนักวิจัย Ha et al. พบว่าความดันโลหิตสูงนั้น
เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อโรคหลอดเลือดสมอง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคไต,
และสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้
ในระดับนานาชาตินั้น ได้มีการจัดสรรงบประมาณทางด้านสุขภาพจำนวน 10%
เพื่อจัดการกับภาวะความดันโลหิตสูงในประชากรของประเทศที่พัฒนาแล้ว
และได้มีการคาดว่าภายในปี 2025
จำนวนผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.56 พันล้านคน
1.12 การศึกษาการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสต่อปฏิกิริยา Glycation กับระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือด
และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ศึกษาโดยนักวิจัย Livesey และ Taylor
โดยใช้น้ำตาลฟรุคโตส กับอาหารทั่วไปให้บุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพดี
และใช้ในการทดลองทางคลีนิคสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเบาหวาน
การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส 50 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 2 ปี
ไม่ส่งผลใดๆ ต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดในช่วงอดอาหารของคนสุขภาพดี
และการบริโภคน้ำตาลฟรุตโตส 50 กรัมต่อวัน
ถือเป็นขนาดการบริโภคที่ยอมรับได้ในผู้ป่วยเบาหวานด้วยเช่นกัน
1.13 จากงานวิจัยเรื่องน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้รับจากอาหาร
และปัญหาต่อระบบเผาผลาญของร่างกายและโรคเบาหวาน
ศึกษาโดยนักวิจัย Bantle พบว่า
เมื่อน้ำตาลฟรุคโตส ถูกบริโภคเข้าไปแล้ว
จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ช้ากว่าน้ำตาลกลูโคส
และพบว่าการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตสและกลูโคสคู่กันนั้น
ทำให้อัตราการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วขึ้น
ส่วนการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสเดี่ยวๆ นั้น
ทำให้อัตราการดูดซึมแตกต่างกันไปในแต่ละคน
และพบว่ามีบางรายที่ไม่สามารถย่อยและดูดซึมน้ำตาสกลูโคสได้
เมื่อบริโภคในปริมาณ 30 ถึง 40 กรัม
2. โรคเบาหวาน
2.1 น้ำตาลฟรุคโตสเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเบาหวานประเภทที่สองจริงหรือ?
(โรคเบาหวานประเภทที่สองเกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย)
จากการศึกษาของ Dr. Geoffrey Livesey
ที่ได้รับการตีพิมพ์ในหัวข้อ Nutrition Bulletin เดือนกันยายนปี 2013
ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำตาลฟรุคโตสและโรคเบาหวานประเภทที่สอง
และในการศึกษาทดสอบนั้น Dr. Livesey
ได้กล่าวถึงประเด็นที่มักถูกถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์
ระหว่างการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสและการดูดซึมไขมันที่มากขึ้นของตับ
3. ภาวะน้ำหนักเกิน
3.1 จากการศึกษาวิจัยระหว่างการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสและการลดน้ำหนัก
ได้พบว่า “การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสไม่ได้เป็นสาเหตุของภาวะน้ำหนักเกิน”
เมื่อน้ำตาลฟรุคโตสถูกใช้แทนที่สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
เนื่องจากน้ำตาลฟรุคโตสนั้น ถูกย่อยและดูดซึมแตกต่างจากน้ำตาลกลูโคส
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางคนสงสัยว่า
น้ำตาลฟรุคโตสเป็นสาเหตุของภาวะน้ำหนักเกิน
3.2 จากการศึกษาวิจัยอย่างยาวนาน
พบว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสไม่ได้ทำให้เกิดการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น (หรือเจริญอาหารมากขึ้น)
และส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัว
จากการศึกษาทดสอบอย่างเข้มข้นก็ได้ข้อสรุปว่าน้ำตาลฟรุคโตสนั้น
ไม่ได้ก่อให้เกิดการรับประทานอาหารที่มากขึ้น (หรือการเจริญอาหาร)
ไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัว และไม่ทำให้ระดับไตรกลีเซอรไรด์ในกระแสเลือดของบุคคลที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเบาหวานสูงขึ้น
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้มาจากบทรีวิวซึ่งถูกตีพิมพ์ในหัวข้อ Critical Reviews
ในวารสารการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ
ก็ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในระดับปกติและความเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือด
หรือการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสหรือปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินในผู้ที่มีภาวะอ้วน
3.3 ผลของงานวิจัยมากมาย
ได้ยืนยันถึงผลดีของการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
ผลของการศึกษาวิจัยใหม่ๆในปัจจุบัน
ได้ยืนยันถึงประโยชน์ของน้ำตาลฟรุคโตสในอาหาร ซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับผลของงานวิจัยเดิมๆ
ซึ่งกล่าวตรงกันข้าม และเราก็พบว่าน้ำตาลฟรุคโตสนั้นเป็นน้ำตาลที่พบได้ตามธรรมชาติในผักและผลไม้และน้ำผึ้ง
4. ระดับไขมันในกระแสเลือด
4.1 จากการศึกษาวิจัยพบว่า
ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสและการเพิ่มสูงขึ้นของระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
จากงานวิจัยใหม่ๆ พบว่าการหยุดบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสและหันไปบริโภคคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นๆ แทนนั้น
ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยของระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบอีกด้วยว่า
มีการทดแทนคาร์โบไฮเดรตด้วยน้ำตาลฟรุคโตสนั้น
ทำให้ปริมาณพลังงานในอาหารนั้นเท่าเดิมและไม่ทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอรไรด์ในเลือดหลังทานอาหารเพิ่มขึ้น
4.2 จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับควาสัมพันธ์
ของการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตสที่มีในอาหารในระดับปกติกับภาวะไขมันในเลือดสูงและความอ้วน
ในบุคคลที่มีสุขภาพดีและน้ำหนักปกติ
วิจัยโดยนักวิจัย Dolan et al.
พบว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งจำเป็นในอาหารเพราะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานโดยเฉพาะการให้พลังงานแก่สมอง
น้ำตาลจัดว่าเป็นสารให้ความหวานที่ให้พลังงาน และโดยทั่วไปแล้วน้ำตาลที่มนุษย์บริโภคเป็นประจำคือน้ำตาลกลูโคส, ฟรุคโตส, น้ำตาลซูโครส
4.3 น้ำตาลฟรุคโตสและกลูโคสในอาหาร
ส่งผลกระทบต่อระดับไขมันในเลือดและความสมดุลย์ของระดับกลูโคสในเลือดแตกต่างกัน
ซึ่งงานวิจัยนี้ศึกษาโดยนักวิจัย Schaefer et al.
โดยผลของงานวิจัยพบว่าน้ำตาลกลูโคสนั้นถูกย่อยโดยตับได้เร็วกว่า
ขณะที่น้ำตาลฟรุคโตสนั้นไม่ถูกย่อย
ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างการดูดซึมของน้ำตาลทั้ง 2 ชนิด
ในการศึกษาระยะสั้นพบว่าน้ำตาลฟรุคโตสนั้น
ทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดหลังรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นและมีผลเพียงเล็กน้อยต่อระดับความเข้มข้นของกลูโคสในกระแสเลือด
ขณะที่น้ำตาลกลูโคสให้ผลตรงกันข้าม
5. กรดยูริค / เกาต์
5.1 มีการศึกษาวิจัยโดยนักวิจัย
Wang et al. เกี่ยวกับผลของการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
ที่มีต่อระดับกรดยูริคในกระแสเลือด ซึ่งจากการศึกษาวิจัยนั้นได้มีการระบุว่า
ภาวะอ้วนลงพุงนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ
และโรคนี้กำลังพบได้มากถึง ¼ ของประชากรชาวอเมริกันและแคนาดาทั้งหมด
5.2 จากการศึกษาวิจัยโดย
Sun et al. พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่าง
การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสและกรดยูริคในกระแสเลือด
ที่เพิ่มขึ้นในประชากรที่เป็นผู้ใหญ่
5.3 จากการศึกษาวิจัย
พบว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในระดับปกตินั้น
ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับความดันโลหิตหรือระดับของกรดยูริค
โดยมีการศึกษากับประชากรผู้ใหญ่ 267 คน เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์
และปริมาณของน้ำตาลฟรุคโตสที่ใช้ในการวิจัยนั้น
เป็นปริมาณเฉลี่ยที่ชาวอเมริกันบริโภคกันต่อวัน
6. สุขภาพด้านอื่นๆ
6.1 ไม่มีการยืนยันถึงภาวะการอักเสบ
เมื่อมีการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสในปริมาณสูงในระยะเวลาสั้นๆ
โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นของ Sibernagel et al.
และได้ทำการศึกษากับประชากรผู้ใหญ่จำนวน 20 คน
6.2 น้ำตาลฟรุคโตสช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
และทำให้การแก้ปัญหาต่างๆดำเนินไปได้ด้วยดี
โดยงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารงานวิจัย Journal of Psychopharmacology
ซึ่งยืนยันว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสนั้น
ส่งผลดีต่อระดับการรับรู้ของสมองได้ดีเท่าๆ กับการบริโภคกลูโคส
แต่การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสนั้นไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเหมือนกลูโคส
6.3 นักวิจัยยืนยันว่ายังไม่มีความจำเป็น
ต้องมีมาตรการใดๆในการจำกัดการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
จากงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคมปี 2012
โดยนักวิจัย Tappy และ Mittendorfer
ซึ่งมีการยืนยันว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการจำกัดการบริโภคน้ำตาลฟรุคโคส
เพราะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า
น้ำตาลฟรุคโตสเป็นสาเหตุของภาวะโรคอ้วนลงพุงเมื่อมีการบริโภคตามปกติ
6.4 น้ำตาลฟรุคโตสช่วยให้ร่างกายคืนสภาพได้เร็ว
หลังจากสูญเสียน้ำจากความร้อนและการออกกำลังกาย
รายงานการวิจัยของ Kamijo et al.
ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับผลของคาร์โบไฮเดรตที่อาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำได้ดีขึ้นหลังจากการออกกำลังกายและความร้อน และส่งผลดีต่อภาวะขาดน้ำของร่างกาย
โดยให้ผู้เข้าร่วมวิจัยซึ่งเป็นผู้ใหญ่จำนวน 7 คน
ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง ต่ำ และไม่มีคาร์โบไฮเดรตเลย
โดยคาร์โบไฮเดรตในเครื่องดื่มนั้นเกิดจากการผสมน้ำตาลฟรุคโตสและกลูโคสลงไป
6.5 รายงานการวิจัยที่ศึกษาโดย
Latulippe และ Skoog ที่ศึกษาเกี่ยวกับการย่อยและดูดซึมน้ำตาลฟรุคโตสเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการบริโภคน้ำตาลกลูโคสร่วมด้วย
พบว่าเมื่อไม่มีการบริโภคน้ำตาลกลูโคสร่วมด้วยนั้น
ทำให้น้ำตาลฟรุคโตสไม่สามารถถูกย่อยได้
โดยสาเหตุหลักๆ เกิดจากสาเหตุ 2 สาเหตุ คือ
1) สาเหตุทางพันธุกรรม
2) อาการผิดปกติในการดูดซึมน้ำตาลฟรุคโตส (หรือภาวะ Fructose Malabsorption)
6.6 ผลกระทบต่อสุขภาพ
จากการศึกษาวิจัยโดย Rizkalla พบว่า
น้ำตาลฟรุคโตสเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่พบได้ในผลไม้และถูกพบมากในอาหารตะวันตก เมื่อใช้ในปริมาณที่เท่ากัน
น้ำตาลฟรุคโตสให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลกลูโคสและซูโครส และถูกใช้มากในฐานะสารให้ความหวานในเชิงอุตสาหกรรม
6.7 การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการย่อยและดูดซึมน้ำตาลฟรุคโตส
และการตอบสนองของร่างกายที่เกี่ยวกับขนาดในการบริโภค
วิจัยโดยนักวิจัย Livesey มีการค้นพบถึงข้อดีและข้อเสียของการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
และได้มีการยืนยันว่าการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสนั้นมีอันตรายน้อยมาก
6.8 การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเข้าใจผิด
เกี่ยวกับน้ำเชื่อมข้าวโพด (High-Fructose Corn Syrup)
มีคำถามที่ว่าการบริโภคน้ำเชื่อมข้าวโพด (High-Fructose Corn Syrup) นั้น
ทำให้เกิดโรคอ้วนและปฏิกริยาทางเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายใช่หรือไม่
การศึกษาวิจัยนี้ศึกษาโดยนักวิจัย White
เนื่องจากโรคอ้วนกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
จากข้อมูลพบว่ามีประชากรอเมริกันราว 33% หรือมากกว่ามีปัญหาโรคอ้วน
6.9 ผลกระทบของวิทยาศาสตร์
และสื่อที่มีต่อการบริโภคน้ำตาลฟรุคโตส
ศึกษาวิจัยโดย Borra และ Bouchoux
จากเอกสาร The Dietary Guidelines for Americans
ได้รวบรวมข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์
การอาหารและข้อเสนอแนะต่างๆไว้มากมาย รวมถึงน้ำตาลด้วย
จากข้อมูลพบว่าได้มีคำแนะนำให้บริโภคน้ำตาลแต่น้อย
เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากอาจทำให้เกิดฟันผุได้
6.10 มุมมองของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อวัตถุให้ความหวานในอาหาร
ที่มีส่วนประกอบของฟรุคโตส
ยังมีประเด็นที่ต้องสรุปและแก้ปัญหา
โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากการศึกษาวิจัยที่ศึกษาโดย
สถาบัน International Life Science Institute North America และกระทรวงการเกษตรของสหรัฐฯ
ซึ่งโครงการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน
เพื่อใช้ในการวิจัยทางด้านวัตถุให้ความหวานในอาหารที่มีส่วนประกอบของฟรุคโตส
อ่านผลวิจัย ด้านน้ำตาลฟรุตโตส เพิ่มเติมได้ที่ https://fructosefacts.org/research/