รวมความรู้ด้านสุขภาพ Health Knowledgeเรื่องเล่าสะกิดสุขภาพ Health Story

อุจจาระบอกสุขภาพ ท้องผูกก่อโรคร้ายกว่าที่คิด

การจะเช็คว่า เรามีสุขภาพที่ดีหรือไม่นั้น 
สามารถตรวจสอบได้หลายวิธี

หนึ่งในนั้นคือดูจาก ลักษณะการถ่ายอุจจาระ


การดูสุขภาพจากการถ่ายอุจจาระ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด

1. ผู้ที่มีสุขภาพดี
อาหารที่บุคคลเหล่านี้ทาน
จะใช้เวลาผ่านลำไส้ใหญ่ เพียง 1/2 – 1 วัน เท่านั้น

ผู้ถ่ายอุจจาระอาจถ่ายวันละ 2-3 ครั้ง
จึงไม่มีโอกาสที่แบคทีเรียทำให้บูดเน่า

ถ่ายง่าย ไม่ต้องเบ่ง
และไม่ค่อยมีกลิ่นเหม็น

เมื่ออยู่ในโถส้วมจะกระจายตัวออกในน้ำ
จะเป็นอุจจาระที่มีลักษณะหลวมๆ ไม่มีเมือกเหนียว

บุคคลเหล่านี้ มักทานอาหารที่มีเส้นใยเยอะๆ เป็นประจำ
เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต

2. ผู้ที่มีสุขภาพแย่สุดๆ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง

อาหารที่ทาน จะใช้เวลาอยู่ในลำไส้ 65-100 ชั่วโมง
หรือประมาณ 2-4 วัน

โดยลำไส้ใหญ่จะดูดซึมน้ำจากกากอาหาร
ทำให้อุจจาระมีลักษณะจับตัวเป็นก้อน
แข็ง เหนียว ถ่ายยาก และใช้เวลานาน
อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็น

บุคคลเหล่านี้มักทานอาหาร
ที่มีแต่ไขมัน เนื้อสัตว์ ข้าวขาว

ไม่ทานอาหารที่มีเส้นใย ผัก ผลไม้

3. ผู้ที่มีสุขภาพกลาง ๆ

บุคคลในกลุ่มนี้ หากถ่ายยาก
ร่างกายจะเจ็บป่วยอย่างหนึ่งอย่างใด

สังเกตได้จาก จะถ่ายทุกวัน วันละ 1 ครั้ง
แต่อาจใช้เวลาถึง 10 นาที

อุจจาระจะมีลักษณะเป็นก้อน
และกระจายตัวเมื่อกดน้ำทิ้ง


ซึ่งลักษณะต่างๆของอุจจาระตามดังกล่าวข้างต้น
จะบอกถึงสุขภาพของลำไส้ ว่าเป็นอย่างไร

จึงต้องรู้จักว่า”ลำไส้ใหญ่”ทำงานอย่างไร

ลำไส้ใหญ่ เป็นหนึ่งในอวัยวะของระบบย่อยอาหาร
มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร

แต่ไม่ได้มีหน้าที่ย่อยอาหาร

โดยลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่
รับกากอาหารที่ย่อยเสร็จแล้วจากลำไส้เล็ก 

ดูดซึมน้ำให้ออกจากกากอาหาร
เหลือของเหลวไว้ประมาณ 150 มิลลิลิตร

พื่อเข้าสู่กระบวนการสุดท้ายของระบบการย่อยอาหาร
ส่วนที่เหลือจะถ่ายออกไปเป็นอุจจาระ



ปกติแล้ว ตั้งแต่ที่เราทานอาหารเข้าปาก ไปจนถึงออกทางทวารหนัก

ระบบย่อยอาหาร จะต้องใช้เวลาทำงานประมาณ 16-28 ชั่วโมง
โดยกากอาหารจะอยู่ในลำไส้ใหญ่นาน 12-24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร 

ยิ่งกากอาหารอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเท่าไหร่
ปริมาณน้ำยิ่งถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนานเท่านั้น
ทำให้อุจจาระหนืด แห้ง จับตัวเป็นก้อน

การทำงานของลำไส้ใหญ่จะบีบตัวเป็นระลอก วันละ 3-4 ครั้ง
เพื่อไล่อุจจาระไปตามลำไส้ตรง
อุจจาระที่ลำไส้ตรง จะกระตุ้นหูรูดทวารหนักให้เปิดออก
ทำให้เรารู้สึกปวดอุจจาระ

อุจจาระที่ขับออกมา จะมีกลิ่นเป็นอย่างไร
ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราทานอะไรเข้าไป
และขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของแต่ละคนด้วย

อุจจาระที่มีความเหนียวนี้
ในขณะที่เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่

จะค่อย ๆ เคลือบ ด้านในของลำไส้ไปเรื่อย ๆ
เกิดเป็นตะกรัน ที่พอกหนาขึ้น

ผล คือ ลำไส้ จะเหมือนมีคราบตะไคร่
ที่เป็นเศษอาหารเน่าเปื่อยจับอยู่เต็มไปหมด

ในขณะที่ลำไส้ดูดซึมน้ำ จากกากอาหารเข้าสู่ร่างกาย
ก็จะดูดซึม เอาคราบตะไคร่เน่าเสียเหล่านี้
เข้าสู่ร่างกายด้วย

เป็นเหตุให้ ร่างกายเจ็บป่วยต่าง ๆ
เช่น ปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
และทำให้เกิด”โรคมะเร็ง”

โดยแบคทีเรีย ที่อยู่ที่ในลำไส้ใหญ่นี้
จะช่วยสร้างวิตามินเค และวิตามินบีหลายชนิด

แต่แบคทีเรีย ก็จะทำให้กากอาหาร
จำพวกโปรตีน ให้มีกลิ่นแรง
ซึ่งกลิ่นเหล่านี้ จะออกมากับการผายลมและอุจจาระ

หากกากอาหารมีความเหนียว
ลำไส้ใหญ่ จะขับกากอาหาร แบบนี้ ได้ช้า
ทำให้ถ่ายยาก หรือ ไม่ถ่าย เรียกว่า “ภาวะท้องผูก”


โดยทางธรรมชาติบำบัด
แบ่งอาการท้องผูกออกเป็น 2 ชนิด

1.อาการท้องผูกที่ถ่ายไม่ออก
บุคคลในกลุ่มนี้จะถ่าย 2-3 วันต่อครั้ง
ถ่ายเป็นก้อนแข็งมาก และถ่ายยากมาก

2.ถ่ายปกติเป็นประจำทุกวัน วันละครั้ง
แม้จะถ่ายเป็นประจำทุกวัน
แต่หากอุจจาระที่ถ่ายออกมา
มีลักษณะ เหนียวมาก มีกลิ่นแรง และใช้เวลาถ่ายนาน

ข้อสังเกต

มีคนอีกจำพวก ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรัง
ทานอะไร นิดหน่อยก็อยากถ่าย

และมีอาการถ่ายเหลว วันละหลายๆ ครั้ง
สลับกับท้องผูก 2-3 วัน

เกิดจากการที่มีอุจจาระเหนียว ถ่ายไม่สุด
ทำให้เหลือคราบเกาะในลำไส้

หากอยากมีสุขภาพลำไส้ที่ดี ควรปฏิบัติ ดังนี้

  • การปรับพฤติกรรมการขับถ่าย
    ขับถ่ายอุจจาระทันที เมื่อรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรก

    นั่งขับถ่ายในท่านั่งที่เหมาะสม
    .
  • ปรับพฤติกรรมการทาน
    รับประทาน ผัก ผลไม้ ที่มีกากใยเป็นประจำ
    .
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ
    ดื่มน้ำอุ่น หลังจากตื่นนอนทันที (ยังไม่แปรงฟัน)
    .
  • ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ